วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รอยลิง ที่สิงคโปร์ #4 คนจน

รอยลิง ที่สิงคโปร์ #4 คนจน


ความเดิมจากตอนที่แล้ว.....อนุไปไหน!!! จบ
---------------------------------------------
รถรออนุสักพักอนุก็เดินมาพร้อมกับการเอามือลูบท้องเป็นสัญญาณว่า
"กูไปขี้มานะ ไม่เชื่อดมดากกูไหม๊(อันหลังงนิต่อเอง)"...
อนุขึ้นมานั่งข้างๆผมสีหน้าดีขึ้นมาหน่อยเมื่อสามารถปล่อยระเบิด
ลงสู่ประเทศที่ศิวิไลซ์กว่าโดยใช้ทุนที่น้อยกว่ามาก.......
"พี่แชมป์ๆ" อนุเรียกผม พี่ว่าชักโครกแม่งสูงไปไหม๊ เวลาขี้เท้ามันลอย แล้วมันก็จะ....

"พอๆ" -ผมพูดดัก- กูผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว... ผมแสดงแววตาของผู้นำที่ผ่านโลกมามาก

รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้าร้านข้าวมันไก่ สถานีต่อไปคือ 
"Fountain of Wealth น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง"
"เป็นไงบ้างไก่อร่อยไหม๊"ไกด์พี่อ้อยเริ่มพล่าม .... เนื้อไก่มันนุ่มมากๆนะคงอร่อยนะพี่เห็นกินเกลี้ยงเลย

"เกลี้ยงสิครับ มันน้อยนิ!! " เสียงผมพูดขึ้น 

ไกด์พี่อ้อยมองหน้า หลับตาซัง(อาการเดียวกับตัวร้ายหลับตาหันหน้าหนีใส่นางเอก) 
แล้วหันไปมองผู้หญิงอีกกลุ่มนึงที่ท่าทางจะพูดน้อยกว่าฝั่งผม

"เนอะๆอร่อยเนอะ"ไกด์พี่อ้อยพยายามหาแนวร่วม..

สถานที่ต่อไปคือ น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง ถูกสร้างโดยกลุ่มนักลงทุนชาวจีนและฮ่องกง หนึ่งในนักลงทุนกลุ่มนั้นคือ ลีกา ซิงสุดยอดมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงรวมอยู่ด้วย ไกด์พี่อ้อยเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง

น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1995 พร้อมๆกับ Suntec City โปรเจคศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานใหญ่ยักษ์ที่จำลองเป็นนิ้วห้านิ้ว โดยมีน้ำพุอยู่ตรงกลางเสมือนอยู่บนฝ่ามือ ตัวน้ำพุสร้างเป็นรูปวงแหวนทองแดงมีขาเป็นฐานสี่ข้าง ออกแบบตามความเชื่อของศาสนาฮินดู (Hindu Mandala) เพื่อเป็นตัวแทนจักรวาล ความเท่าเทียมและการหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนสิงคโปร์ที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติ....(โอ้จริงจังจริงๆด้วย!!)

เมื่อรถมาจอดพวกผมเริ่มเข้าสู่โหมดร่าเริง 
กระโดดโลดเต้นพร้อมสูดลมหายใจแห่งอิสระภาพและความมั่งคั่ง...

"14.30น.เจอกันที่นี่นะค่ะ" เสียงอีไกด์พี่อ้อยมารร้ายที่กำหนดอิสระภาพของเราอย่างเลือดเย็นเอ่ยออกมา...เราหุบปากที่ยิ้มอยู่ทันที...พร้อมกับระดมยิงสายตาโหมดชั่วร้ายเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
ชีเชิดหน้าใส่พร้อมรอยยิ้มเล็กๆแบบหยามๆของผู้ชนะ

เราเดินเข้าไปตรงน้ำพุเพื่อเก็บรูปอย่างรวดเร็ว ไกด์หนุ่ยเอยว่ารีบถ่ายรีบเสร็จนะครับ 
ระวังเมืองหลวงเนปาลนะครับ
"อัลไลนะ" อนุถาม ....ไกด์หนุ่นยิ้มพร้อมใบหน้าประสบความสำเร็จ....เอ่อ 
การ์ดมันดุ อะครับ มันจะมาไล่

ไกด์ยิ้มแบบผู้ชนะแล้วเดินจากไป 
#แค่นี้มึงก็เอาระวังตัวไว้ไกด์ทั้งสอง

สิ้นพิธีการถ่ายรูป เราเริ่มแยกมาเดินเล่นผมพยายามหาร้านหนังสือหลายคนบอกผมว่าไปต่างประเทศไปดูร้านหนังสือดูอันดับหนังสือเราจะรู้ว่าประเทศนั้นเป็นอย่างไร แต่จากการคำนวนของผมแล้วเวลาที่น้อยนิดไม่น่าทันผมเลยชวนอนุไปหากาแฟกินกัน

เราเดินอยู่สักพัก เห็นร้านอาหารและเครื่องดื่มมากมาย เราสังเกตที่ป้ายราคาโอ้ว

กาแฟ 7 เหรียญ อาหารอย่างอื่นส่วนใหญเริ่มที่ 12 เหรียญ
อนุเริ่มทำคิ้วชนกัลล โอ้วพี่ เหรียญนึงคูณเท่าไหร่นะพี่...25.9 ผมตอบ

กาแฟแก้วละ 180 บาทโอ้ว!!! อันนั้น 10เหรียญ!!!อันนี้ 15เหรียญ!!!
หน้าตาของอนุเริ่มเป็นเจ้าพ่อคณิตศาสตร์ มองทุกอย่างเป็นตัวเลข ชีแปลงร่างเป็น สต๊าค อยู่ในชุด Iron Man พร้อมสั่งการ Javis คำนวนค่าใช่จ่ายทุกอย่าง ค่าครองชีพที่นี้เริ่มมีผลกระทบกับเราแล้ว!!!

พนักงานกินเงินเดือนระดับกลางๆจากประเทศไทยเริ่มมองหน้ากัน เฮ้ยแบบนี้แผนที่วางไว้ว่าจะเมาแบบลืมแผ่นดินเกิดจะเป็นไง...ผมกับอนุวิ่งไปที่ซุปเปอร์ชั้นล่างหน้าจุดนัดพบ ไปที่ชั้นเบียร์

โอ้ว!!! เสียงสุทธิ น้องอีกคนมาก่อนผมและอยู่ข้างๆ 
แม่มเอ้ยเบียร์ป๋องถูกสุด 4 เหรียญ 
Javis(อนุ)ตามหลังมาพร้อม คำนวนอย่างรวดเร็ว "104 บาท" 
แบบแพ็คคู่กระป๋องยาวๆ 11.5 เหรียญ "197 บาท" 
-Javis พูดตามหลังทุกครั้งที่สุทธิ พูดราคา-

"กูรู้ละว่าประเทศห่านนี้แม่มโคตรรวยได้ไง" สุทธิพูดมองหน้าอนุ

...ความเศร้ามาปกคลุมบรรยากาศ สาม สหาย นาย-บ่าว...

เราขึ้นรถเพื่อไปต่อที่ Merlion เราขึ้นรถโดยไร้แก้วกาแฟ หรือขนมในมือ
ผมฟังไกด์พี่อ้อยไม่ค่อยรู้เรื่อง ... 

ประสบการณ์ที่ยิ้มสนุกสนานถ่ายรูปตะกี้ มืดบอดไปทันที 
"ระดับชั้น" เสียงที่ก้องขึ้นมาในหัวผมอีกแล้ว...(มึงจะมาหลอกหลอนไรกรูเนี่ย)

ระดับเงินเดือนของผมในประเทศไทยแม้จะจัดว่าไม่สูงแต่ก็ไม่ได้ถือว่าน้อย
ผมสามารถผ่อนรถ ผ่อนหนี้บ้าน จ่ายบัตรเครดิตและหนี้อื่นๆ
อีกบางส่วนและยังเหลือหักเข้าเก็บเกือบๆ 5000 บาทต่อเดือน

แต่พอมายืนตรงนี้ โอ้ว นี่สินะความแตกต่าง 
ผมเคยมองว่าคนอยู่ต่างประเทศมันช่างมีความสุข
บ้านเมืองสวยงาม หางานเงินเดือนก็เยอะ
ใช้จ่ายได้เป็นเศรษฐีเลย

ตอนนี้สำนึกเลย ว่าการปากกัดตีนถีบในต่างแดน หาเงินด้วยแรงงานขั้นต่ำ กว่าจะได้อาหารราคาถูกสุดของที่นี่ อาจจะต้องทำงานถึงขนาดก้มกราบเพื่อให้ได้มาซึ่ง "ค่าครองชีพ"

ไม่มีอะไรง่ายๆในโลกนี้สินะ 
ผมไปถึง MerLion ลงไปถ่ายรูปคู่เอกลักษณ์ของประเทศท่ามกลางอุณภูมิสามสิบกว่าองศา
อนุนั่งเมาแดดเข้าไปอีก สุทธิตระเวนเดินรอบๆ 

ผมเดินเข้าสตาร์บัค ที่จริงผมก็ไม่กินนะครับ อเมซอนผมก็ไม่กินผมว่ามันแพงแก้ว 60 บาทที่เมืองไทยผมกินกาแฟบริษัท ชงกินเองอาศัยเคยทำขาย ปรุงรสตามใจชอบไม่ต้องรอลุ้นกับรสชาติแปลกที่พนักงานชงให้

แต่วันนี้ผมอยากเข้าไปดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ต่างแดน 
สัมผัสกาแฟแก้วเกือบ 200 ว่ามันจะทำให้เราได้อะไร?....

ผมไม่ได้หวังรสชาติ ผมไม่หวังวิถีชีวิต สิ่งที่ผมอยากได้คือมุม
แง่มุมที่ก่อให้เกิดแรงผลักดันอะไรสักอย่าง

เหมือนซื้อหนังสือสักเล่ม เราอ่านเรานั่งคิดเราทบทวนว่าหนังสือมันบอกอะไรเรา

กาแฟแก้วนี้บอกอะไรกับผมบ้าง....
ความลำบาก ความจน ความเจียมตัว การยอมรับและการผลักดัน
มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกนะครับ ผมกินเบียร์ก็หมดครั้งละ 300บ้าง 500 บ้าง
แต่อารมณ์นี้มันไม่ได้เกิดตอนกินเบียร์ หรือบุฟเฟต์ราคาแพง
อารมณ์ของการเจียมตัว ความต่างของวรรณะ อารมณ์ของ"การอยากเปลี่ยนแปลง"

"คนจนที่ที่ถูกล่ามโซ่ มาเดินในที่ๆไม่ใช่ของตน...."
น่าจะจำกัดความให้พวกผมตรงที่สุดแล้วตอนนี้

ผมถ่ายรูปเสร็จ นั่งกินกาแฟหน้าร้านเพราะในร้านคนเต็ม 
ผมมองเห็นอนุกับสุทธิเดินมา"เหนื่อย ร้อน" สองคนบ่น
ได้เครื่องดื่มเย็นๆสักแก้วคงดี

Javis เริ่มคำนวน แล้วพูดกับสุทธิ...
"ความจริงกระป๋องยาวแพ็คคู่ 11 เหรียญก็พอกินอยู่นะ"

สุทธิยิ้มแล้วเดินไป ร้านค้ากับอนุ รอยยิ้มเผยอขึ้นจากปากของทั้งสอง

"ความสุขมันถูกบรรจุในกระป๋องและอยู่ทุกๆที่บนโลกจริงๆ"
#ยืมก่อนนะพี่แชมป์ #เอ้ามาให้พี่สักแพ็คด้วยละกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น