รอยลิง ที่สิงคโปร์#3 " ไร้ซึ่งวัฒนธรรม..."
ความเดิมตอนที่แล้ว....
“มิ ง กะ ละ บา”....จบ............
........................................
เกือบ 10 นาทีที่ไกด์เข้าไปพูดคุยกับ ต.ม. และขอดูหลักฐานมากมายของอนุ
แต่โชคยังดีที่ไม่ถึงขั้นกักตัว
“พวกเราก็ได้เข้าสู่ประเทศแห่งความศิวิลัยซ์....”
กลุ่มไปรอผมรับกระเป๋า มีไกด์พี่อ้อย ไกด์ท้องถิ่นรอต้อนรับ
ผมออกไปเดินสำรวจหาไอเท็มกระป๋องสเปรย์และใบไม้เขียว และ แดงในพื้นที่รอบๆ
(ใครเข้าใจมุกยกมือด่วน)..
ภายในสนามบินก็มีร้านรวงต่างๆมากมายสร้างความตื่นตาตื่นใจ
ให้ผมและคณะ ทั้งสินค้า บริการ และราคา!!!
5นาทีต่อมาเราเดินขบวนขึ้นรถต่อแถวลูกเสือเนตรนารีทุกคนต่างผูกพันธนาการที่มองไม่เห็น อิสระที่ได้รับคือภาพลวงตาแห่งมายาชีวิต ขณะนั่งบนรถรอรถออกผมก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่า เงาโซ่อันนี้มันผูกเราไว้อย่างที่เราขืนขัดมิได้....
การก้มหน้ายอมรับโชคชะตาอาจไม่ใช่ความคิดของอิสระชน
แต่การไม่ลืมตามองสิ่งที่เราได้รับและปรับความรู้สึกให้มันมีค่าอาจเป็นเรื่องเศร้ายิ่งกว่า
ผมใช้วิธีลืมตามองข้างหน้าดีกว่าพยายามไข่วคว้าหาโซ่ตรวนที่อยู่ด้านหลัง ....
รถเริ่มเคลื่อนผมมองไปรอบๆ
ไกด์อ้อยเริ่มพล่าม
สิงค์โปร์เป็นเกาะพื้นที่ใช้สอยน้อย มีประชากร 6 ล้านคนโดยประชากร 95%มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยที่อยู่อาศัยมาจากรัฐบาลสร้างตึกแบบคอนโด หรือแฟลต แล้วขายให้ประชาชน ทำให้สิงคโปร์เกือบจะไม่มีบ้านเดี่ยว.... ค่าครองชีพที่นี้สูกเป็นอันดับต้นๆของโลก รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศมาจากการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรื่องน้ำลึก การท่องเที่ยว คาสิโน และการเป็นพ่อค้าคนกลาง
ที่นี่ไม่มีเกษตรกรรมทุกอย่างถูกนำเข้า ไม่มีน้ำดื่มต้องนำเข้าต่อท่อมาจากมาเลเซีย
กลุ่มคนทำงานจะถูกหักเงินเข้าเก็บเดือนละ 20% และบริษัทที่ว่าจ้างสมทบ 20% ทำให้ประชากรสิงคโปร์ทีทำงานตามระบบจะมีเงินเก็บทันทีเดือนละ 40%....#ว้าว
และเมื่อต้องการที่อยู่อาศัยก็จะติดต่อรัฐบาลแล้วรัฐบาลจะหักเงินออกจากเงินเก็บนั่นเอง .....
บรรยากาสของสิงคโปร์นั่นไม่วุ่นวาย รถไม่ติดเพราะราคารถที่นั่นสูงกว่าบ้านเรา 4-5 เท่า และต้องเช่าทะเบียนมีอายุ 5 ปี เมื่อครบ 5 ปีต้องต่อทะเบียนซึ่งราคาเท่าๆกับซื้อคันใหม่ ทำให้การออกรถเป็นเรื่องของคนรวย
ความสะอาดของบ้านเมืองอยู่ในสภาวะสูงสุด การปรับผู้ที่ทิ้งขยะจะปรับครั้งแรก 1000 เหรียญ(26000 บาท) ถ้ามีครั้งที่ 2 จะปรับ 2000 เหรียญ(52000 บาท) พร้อมบำเพ็ญประโยชน์ โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีชุดนอกเครื่องแบบแฝงอยู่ทุกที่
ด้วยความตื่นเต้นกับข้อมูลทำเอาผมเกือบหลับจนกระทั่ง รถมาจอดที่ร้าน ข้าวมันไก่...ชื่อดังของที่นี่ ทางร้านเตรียมอาหารไว้รอ มีข้าวมันที่มาแบบถ้วย ส่วนกับนั้นประกอบไปด้วย ไก่นึ่ง พร้อมน้ำจิ้ม สูตร แหย แย.. จะบอกว่าไงบ้านเรามัน"เมืองซาดิสสติกคอลโลจี" (ภาษาอัลไลว่ะ ไม่รู้เรื่องแต่เข้าถึงละกัน) ให้มากินกับซีอิ๋วดำ หรือน้ำจิ้มเค็มมันขัดกับกระหม่อมมากพ่ะยะคะ!!! ในโต๊ะยังมีหมูอะไรไม่รู้นุ่มๆหวานๆ อร่อยดี น้ำซุป ผัดผัก และของหวานเป็นแป้งไส้ถั่ว ผมว่าร้านนี้เก่งมาก ต้มซุปได้เทพค่อดๆ คือต้มได้จืดกว่าน้ำเปล่าเสียอีก อยากไปเรียนวิชาเหลือเกิน
ผมเหลือบไปมองทางอนุที่นั่งกระอักกระอวน ปกติอนุจะเป็นเป็นกลุ่มชนชั้นกรรมาชีพที่แดกข้าวปานทหารแต่ทำงานเหมือนคนง่อย วันนี้นางเล่นไม่อยากทานอะไร นางทานข้าวได้ครึ่งถ้วยกับไก่อีกชิ้น นางบอกนางเมาเครื่องบิน ขากลับขอนั่งตุ๊กๆกลับประเทศได้ไหม๊....
เราอยู่ร้านอาหารได้ประมาณ 30 นาที ผมก็ลุกออกจากที่นั่งไปเดินเล่น ที่นี่ไม่มีร้านแผงลอยข้างถนน ไม่มีไวนิลป้ายโฆษณา ไม่มีความสกปรก ไม่มีขยะ และหมาจรจัด เอาเข้าจริงๆตลอดทริปผมไม่เห็นหมาสักตัวความสงสัยทำให้ผมต้องจดคำถามไว้ถามไกด์ว่าคนที่นี่แดกหมากันไหม๊ จนแล้วก็ไม่ได้ถาม
ผมเดินไปเจอศูนย์อาหารผมเดินเข้าไปโอ้วมีอาหารของจีน แขก เนื้อย่าง สเต๊กอยู่ด้วยกัน มีรูปพระพรหม บนหิ้ง แสดงถึงความหลากหลายของวัฒนธรรม...
วัฒนธรรมเหรอ ประเทศที่มีอายุแค่ 50 ปี ประชากรมีจีนฮ๊กเกี๊ยน(ถ้าผิดขออภัยจดมาแบบนี้) แขกอิสลามมาเล แขกอินเดีย และมีชนชั้นด้านกรรมกรทำงานเป็นชาวต่างชาติทั้งหมด
ไม่มีวัฒนธรรม ไร้ซึ่งความเป็นมา ประเทศเริ่มต้นจากสลัมที่มาเลถีบหัวส่ง 50 ปีกลายเป็นประเทศที่ก้าวล้ำที่สุดของอาเซียนและเอเชีย
“อะไรทำให้เค้ามาไกลเพียงนี้”
อารมณ์เปรียบเทียบมันไม่ใช่สิ่งที่จะพัฒนาประเทศเราได้ แต่ความอิจฉามันมันมีพลังทำลายความคิดบวกด้านนั้นของผมไปหมดสิ้น..
ประเทศกูทำอะไรอยู่ว่ะ....วัฒนธรรมของชาติที่ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น วัฒนธรรมถูกยกขึ้นมาขายเพื่อดึงเงินเข้าประเทศแต่จนแล้วจนรอดผมเรียนรู้ว่าประเทศเรา"ขายหน้า" ดีกว่าผลิตภัณฑ์ทางเกษตรเสียอีก
...การก่นด่าชาติตัวเองน่าจะเป็นการกระทำที่บัดซบ การกลับไปแล้วมองหาทางพัฒนาน่าจะดีกว่า ...แต่มนุษย์ตัวน้อยๆที่ขนาดถ่ายบัตรประชาชนไม่หล่อขอถ่ายใหม่ยังไม่ได้จะอาจกล้าไปเปลี่ยนประเทศ...
อยากให้กูรูและโค้ชต่างๆที่ฝันใหญ่พร้อมสาวกมาร่วมกันฝันใหญ่เพื่อเปลี่ยนประเทศนี้จังสักวันมันคงน่าอยู่ขึ้น
ผมเดินไปที่ร้านขายนำใช้ภาษาอักฤษระดับหางอึ่งอินเตอร์เนชั่นแนลของผมชี้ไปที่รูทเบียร์ราคา 1.25เหรียญ พร้อมจ่ายเงินแบงค์ 50เหรียญ(ใหญ่ที่สุดของที่นั่น) ให้อาซิ้มด่าแม่ทางสายตา โดยที่อาซิ้มมองมาที่มือก็เห็นว่ามีแบงค์ 2 เหรียญอยู่....
แล้วไง!!ผมพูดภาษาไทยแล้วยิ้มให้ซิ้มด้วยไมตรีจิต
เสียงจากไกด์หนุ่ยที่ถนนฝั่งตรงข้ามเรียกผม
ผมถือรูทเบียร์เดินถ่ายรูปบ้านเมืองก่อนขึ้นรถ ผมนั่งลงดูดรูทเบียร์พร้อมกับคิดทบทวนเรื่องวัฒนธรรมของที่นี่ถ้าเราไปถามว่าวัฒนธรรมของชาวสิงคโปร์คืออะไร ผมคงได้คำตอบว่า....
”ความมีวินัย”
คือสิ่งที่พวกเค้าทำกันมาตลอดชีวิตของพวกเค้า
รูทเบียร์หมดกระป๋อง
รถยังไม่ออก....
ทำไมรถไม่ออก….
เอ่อ...
#บักอนุไปไหน!!!!
#วัฒนธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น