วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558



รอยลิงที่สิงคโปร์ #6 "14 อีกครั้ง"


เมื่ออาหารมาพร้อมหน้าทีมผม 5 คนแปลงร่างเป็น เรนเจอร์ทั้ง 5 สีก็ปฏิบัติการรวมพลังกระทำชำเราขาหมู ผักลวก น้ำซุป บะกูเต๋ ตีนไก่ ซึ่งทั้งหมดถูกประกอบออกมาด้วยความปราณีตและ นุ่มประดุจดังพ่อครัวเอาลงท้องผ่านกระเพาะและลำไส้ใหญ่ออกมาใส่จานแล้วปรุงรสซ้ำ ทำให้ความนุ่มของอาหารทั้งหมดถูกแผ่กระจายออกมาละลายได้รสในปากแต่ไม่ละลายในมือกันเลยทีเดียว

เราเริ่มมีเสียงหัวเราะอีกครั้งหลังทุกอย่างเปลี่ยนพลังงานทดแทนอาการง่วงของพวกเรา
โปรแกรมต่อไปเราจะไปที่ "Marina Bay Sands"
เพื่อชม การแสดง แสง สี เสียง ผ่านม่านน้ำด้วยเครื่องฉายสไลด์
อีไกด์พี่อ้อยบรรยายสิ่งมหัศจรรย์ที่พวกผมกำลังจะไปเผชิญ

"เสียค่าบัตรไหม๊ครับ" อนุยกมือถาม 
"ฟรีค่ะ"....

-_-" อนุทำหน้าเซ็งๆพร้อมหันมาหาผมพร้อมพูด
"อันฟรีๆนิพาไปดูดีนัก"

อนุเริ่มประกาศตัวเป็นปรปักษ์แทนผมซึ่งเงียบไปไม่ค่อยต่อกรกับไกด์ทั้ง 2 
ผมเริ่มถอยออกมาจากการปะทะสักพักเพราะอยากสังเกตสภาพแวดล้อมของเมืองเมื่อก้าวข้ามสู่ความมืด เมืองไม่มีสภาพรถติดแม้จะเข้าสู่ช่วงเลิกงานของพนักงานทั้งหลาย

คงมาจากราคารถและภาษีที่แพงบรรลัย
ขนส่งสาธารณะที่สมบูรณ์วินัยและกฏหมายที่เข้มงวด
หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ส่งผลให้บ้านเมืองออกมาในรูแบบที่เห็นและเป็น
--อดีตสร้างปัจจุบัน และปัจจุบันส่งผลต่ออนาคต--

การปลูกต้นไม้เวลาที่เหมาะที่สุดคือเมื่อ 20 ปีที่แล้วเพื่อจะได้เก็บเกี่ยวดอกผลและร่มเงา
...ถ้าเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่ได้ปลูก เวลาที่เหมาะที่สุดก็คือตอนนี้
ตอนนี้บ้านเมืองเราปลูกต้นอะไรกันบ้าง?

ปัจจุบันจะส่งผลต่ออนาคต เป็นความจริงที่เป็นตลกร้าย.....
ปัจจุบันของประเทศเราจะส่งผลอย่างไรต่ออนาคตละเนี่ย 
คำตอบคงชี้ชัดไม่ได้ เราต้องการอัศวินม้าขาวที่มาสร้างปัจจุบัน 
และเปลี่ยนแปลงอนาคต 
-พวกเราต้องการฮีโร่- 

ซึ่งนั่นก็เป็นตลกร้ายอีกเช่นกันเมื่อสายตาของพวกเราไม่เคยมีฮีโร่
เรามองทุกคนเป็นผู้ร้ายที่มากอบโกย
เราไม่เคยเชื่อใจใครทั้งนั้นทั้งจากระบอบและการใช้อำนาจ
เราจับผิดทุกคน โจมตีทุกฝ่ายและไม่เคยให้อภัยกันและกัน
ถามว่าอะไรคือเหตุที่ทำให้ดวงตาเรามองเช่นนั้น....
คำตอบก็คงเป็นเรื่องตลกร้ายเช่นเดิม....

"อดีต" ไงละ!!!......
รถเราเคลื่อนตัวออกจากร้านอาหารผ่านเมืองและมุ่งหน้าสู่
ห้างดัง โรงแรมหรู คาสิโน และอื่นๆแล้วแตผู้คนในรถจะขนานนาม
เรามาถึง Marina Bay Sands ประมาณ 1 ทุ่มไหนๆก็มาแล้วเล่าอะไรสักหน่อย

Marina Bay Sands Singapore อาคารที่เต็มไปด้วยความเป็นที่สุดในโลก 
1, เริ่มต้นด้วยค่าก่อสร้างรวมที่ดิน ที่แพงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่า 2 แสนกว่าล้านบาท
2, ห้องคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีโต๊ะเล่นพนันมากถึง 500 โต๊ะ และ ตู้ slot machine มากถึง 1,600 ตู้
3, สระว่ายน้ำที่บนอาคารสูงระดับ 55 ชั้น กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
4,อื่นๆอีกซึ่งผมก็ไม่รู้จะแจ้งทำไมผมคงไม่ได้ไปใช้บริการอะไรนอกจากไปเดินดูและขี้ใส่เพื่อเป็นเกียรติประวิติของวงศ์ตระกูล

เรามาถึงจุดปล่อยตัวและมีเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าการแสดงแสง สี เสียงและเลเซอร์อลังการณ์ของอีเจ๊ไกด์พี่อ้อยจะเริ่มซึ่งหมายความว่าเรามีคาบว่างอยู่เพื่อใช้ในการเดินเตร็ดเตร่
ผมเดินไปกับอนุ สุทธิ โดยที่สาวๆขอแยกไปกับกลุ่มไกด์พี่อ้อยเพราะจะพา
ไปช๊อปกระเป๋าแบรนด์เนมที่เจ๊แกมีส่วนลด(และน่าจะได้ค่าคอม)

เราตั้งใจไป คาสิโน กับหา 7-11 น่าขำดีที่เราอยู่สิงคโปร์แต่ต้องเดิน 7-11 นี่กูเป็น 
Seven-Elevenlism หรืออย่างไร ซึ่งที่นี่มี7-11 สองแห่งเพื่อซื้อซิมการ์ดและเครื่องดื่มอีกเล็กน้อย ระหว่างทางที่เดิน ป๊ะ!! เข้ากับไกด์หนุ่ยที่เดินด้อมๆมองๆ ว่าเราจะไปกระเด้าใครในห้างหรือเปล่า

คำถามแรกที่สุทธิถามไกด์หนุ่ยในสถานที่รโหฐานแต่วิเวกจากสาวๆที่มาด้วยคือ

"เราจะสัมผัสแผ่นดินสิงคโปร์อย่างแท้จริงได้เยี่ยงไร?
#ฟังดูยิ่งใหญ่มาก

ไกด์หนุ่ยทำท่าครุ่นคิดแล้วจิกตามาที่พวกเราแล้วกล่าวแบบเย้ยๆว่า
ถ้าไปเที่ยวก็ต้องใช้เวลาและจีบยากพอสมควร
ส่วนการซื้อกินนั้นเสี่ยงและใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก#ไอ้ลิงเหลือง
พวกเราขำกับคำถามและคำตอบ
ไกด์หนุ่ยเดินจากไปเพื่อทำธุระ ปล่อยให้ สามช่าผจญภัยตามมีตามเกิด 

ซึ่งก่อนไปเราก็ถามทางไปคาสิโนกับ 7-11

"จีบเหรอ" ขนาดกูจะซื้อเบียร์ยังพูดจนเมื่อยมือ
"ซื้อกิน" เหรอ ขนาดซื้อเบียร์กูยังคิดแล้วคิดอีก
"หมดกันการเปิดโลกใหม่ และ การล่าอาณานิคมอย่างที่หวัง"

สุทธิบ่นอย่างออกรสออกชาติเมื่อไกด์หนุ่ยลับหายไปตรงมุมเสา...

เราเดินลงไปที่คาสิโนซึ่งชาวต่างชาติเข้าฟรีส่วนคนสิงคโปร์ 100SGD
โอ้วววว เราชิงความได้เปรียบทันทีถึงแม้จะแลกกับการต้อง
เอาพาสปอร์ตที่มีรูปเราตอนก่อนจะวิวัฒนาการมาเป็นคนออกมา
เพื่อให้การ์ดตรวจก็ตาม

เราสอบถามเจ้าหน้าที่และอ่านข้อกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆ

เราเข้ามาด้านใน ความใหญ่ อลังการณ์ทำเราอึ้งไปอีกครั้ง
เราต่างคนต่างเดินดู 

อนุ เริ่มแสดงสีหน้ามั่นใจในพลังดวงของตน ตั้งใจหาการละเล่นที่ตนเองคุ้นเคยและอยากมีส่วนร่วมและแยกออกไปตามหาฝัน  ผมก็เดินดูผู้คนที่กำเงินแสนไว้ในมือในรูปแบบพลาสติคทรงกลม
มีคนแบบไฮโซ คนที่เดินเหมือนหาคนช่วยเหลือ กรุ๊ปจีนบางกรุ๊ปยืนดื่มน้ำที่ทางคาสิโนแจกให้ฟรี 
บางคนหยอดสล๊อต ลุ้นบาคาร่า และอื่นๆตามที่ตนเองถนัด

ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่าห้องน้ำอยู่ไหน 
เพื่อจะกระทำภาระกิจที่หวังอย่างตั้งในและเพื่อเกียรติแห่งวงษ์ตระกูล
#แน่นอนชักโครกแม่มสูง 
#การ์ดนั่งขี้แบบฮิปเตอร์ทำงาน

เมื่อออกมาเจออนุที่ยังไม่ได้เล่นอะไรสักอย่าง

"มึงเดินตามหาอะไร"
"วงไพ่ป๊อกครับ"

ผมนิ่ง....อนุนิ่ง...สุทธิตามหลังมานิ่ง....
--ที่นี้มีวงไพ่ป๊อกไปไหม๊ว่ะ?--

เราเดินขึ้นมาเพื่อไปที่แสดงโชว์ เพราะใกล้ถึงเวลาแสดงแล้ว
แน่นอน ถามทางจนไปถึงที่แสดง
เราเป็นกลุ่มแรกที่ไปถึงที่แสดงเลยมีที่ว่างให้นั่ง นอน ได้อย่างเต็มที่
อาการล้าเริ่มก่อตัวอีกครั้ง ผมถอดรองเท้านอนแผ่ พร้อมกับเก็บรูป
อนุ สุทธิ และสองสาวเดินตามมา 

ทุกคนถอดรองเท้าและนอนแผ่....พร้องทำหน้าเหนื่อยและอยากจะกลับที่พักแล้ว......
ช่วงที่รอการแสดงเริ่ม ผมควักสมุดน้อยผมออกมาจดไดอารี่สั้นๆพร้อมกับเหลือบไปเจอข้อความที่ผมเขียนไว้

"เราจะได้อะไรจากการมาท่องเที่ยวครั้งนี้?...."
ตอนนี้ผมได้คำตอบที่หลากหลาย
ไปที่นั่นได้อันนี้!!...
ไปตรงนี้ได้อันนั้น !!...
ไปตรงโน้นไม่ได้อะไรเลย!!...

การไม่ได้อะไรเลยก็คือการได้อย่างนึง
ทำให้รู้ว่าไปสถานที่แบบนี้แล้วทำแบบนี้จะไม่ได้อะไรเลย....

--การเรียนรู้คงสำคัญอยู่ที่มุมมอง แต่การนำไปต่อยอดนั่นสิคือสิ่งที่สำคัญกว่า--

หลายๆคนกล่าวว่าการเดินทางคือการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่
ผมไม่เข้าใจ และคิดอย่างง่ายๆว่าเราแค่อ่าน ฟังผ่านเรื่องเล่าก็น่าจะพอ
แต่เมื่อมาเรียนรู้จริงๆ กลับพบว่า ผมได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง...

--เด็กที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
---ต้องถามคำถามตลอดทาง
----อยากรู้ทุกสิ่งที่เห็น
-----กินในสิ่งที่คนอื่นจัดให้
------ไปในที่ๆคนอื่นพาไปหรือแนะนำ


ท้ายสุด คือดวงตาที่สลัดอีโก้และแคะหูที่เต็มไปด้วยขี้หูออก
เพราะ เราต้องเปิดทุกทวารเพื่อรับรู้ รับฟัง ทำตาม
อย่างไม่ขัดแย้งและสงสัย 

เพลง "14 อีกครั้ง"เริ่มบรรเลงขึ้นในหูผม
ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของกรุ๊ปทัวคนไทยข้างๆ
เราบ่นเพราะคิดว่าพวกผมเป็นชาวต่างชาติ
"แม่งเอ๊ย พวกห่านั้นแม่งถอดรองเท้า #สัส #แม่งโครตเหม็น"

สุทธิยืนขึ้น....เดินไปใส่รองเท้า
#อย่างรู้ตัว
#มึงไปนั่งคนเดียวเลย
#สัส

รอยลิงที่...สิงคโปร์ #5 "คนท้องถิ่น"

เราขึ้นรถออกจาก MERLION ประมาณบ่ายสามพร้อมกาแฟและเบียร์ 2 แพ็ค จุดหมายต่อไปคือ
 Garden By The Bay สถานที่บรรจุพันธุ์ไม้นานาชนิดทั้งธรรมชาติและSuper Trees ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์

เราเริ่มมีความสนุกก่อเกิดขึ้นในอารมณ์จากอิทธิฤทธิ์ของน้ำเมา กอรปกับอาการเมาเครื่องและเมาความศิวิไลซ์เริ่มจางๆลง ทำให้อนุและสุทธิเริ่มแสดงอาการยิ้มแย้มและสถาปนตนเองเป็น "คนท้องถิ่น" ด้วยการ เอาเสื้อเชิ้ตลายจีนมาใส่ทับเสื้อยืดแล้วใส่หมวกแนวๆมุสลิม และทักทายกันไปมาด้วยคำว่า 

"มิ ง ก ะ ล ะ บ า" ...-พร้อมกับหัวเราะ-

ผมก็นั่งขำกับกิริยาของทั้งสอง อ้อ ลืมบอกไปว่าทีมผมที่ไปมีกัน 5 คนประกอบไปด้วยผม อนุ สุทธิ วริษ และ อุมา เรามักเรียกกันด้วย 2 พยางค์หน้าของชื่อจริง ทำให้ชื่อที่ออกมาแลดูเท่ๆในกลุ่มพวกเราสามคนผมเป็นผู้ชาย อุมาเป็นผู้หญิง และวริษคือผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชาย...

ไกด์พี่อ้อยเริ่มพล่ามถึงความเป็นมาของ Garden By The Bay แต่เอาเข้าจริงๆพวกเราเริ่มไม่สนใจแล้วละ ผมจึงไม่มีอะไรมาเล่าเกี่ยวกับที่นี่

ตอนลงรถไกด์พี่อ้อยแจ้งว่าให้เก็บมาเอาพาสปอร์ตเป็นอย่างดี เพราะอาจมาการเรียกตรวจจากตำรวจนอกเครื่องแบบไม่ควรเก็บไว้ที่รถ ผมเลยถือพาสปอร์ตลงไปด้วย ผมบรรจงเปิดดูรูปใบหน้าตนเองในพาสปอร์ต แล้วน้ำตาไหล ที่ว่ารูปในบัตรประชาชนว่าทุเรศแล้ว คงต้องจัดให้รูปในพาสปอร์ตว่า อุบาทว์ กันเลยทีเดียว...

"เอิ่มกูว่ากูจะโดนจับก็เพราะไอ้รูปบนพาสปอร์ตนิละ"

คิดแล้วเก็บในส่วนลึกของกระเป๋าก่อนลงไปที่ สวนพันธุ์ไม้ 

ไกด์พี่อ้อยผู้กุมเวลาพวกเราได้ประดุจดัง โจทาโร่ที่หยุดเวลาได้นั้นแจ้งกับเราว่าเรามีเวลา 30 นาที ที่จะวนเวียนกันที่นี่ก่อน จะไปผจญภัยที่ต่อไป ผมกับแก๊ง 3 ช่าตกลงกันว่าเราจะไม่ไปไหนจะนั่งประชดชีวิตกันตรงที่รดจอดนิละเพราะเหนื่อยกันมากๆ จากอาการไม่ได้นอน และป่วยกับราคาเครื่องดื่มที่อยู่ในมือ บางจังหวะต้องคอยห้ามไม่ให้สุทธิกัดกินกระป๋องเบียร์เพราะเสียดายที่ต้องทิ้งเบียร์กระป๋องละร้อยกว่าบาท

เราลงถ่ายรูปแถวๆที่ๆรถจอดและบรรจงกอดหินสลักรูปม้ากะกระทิง แล้วขยับเอวด้วยกิริยาขยายพันธุ์สัตว์ป่าพร้อมร้องเพลง

"เด้าๆๆๆ จั่งได๋กะบ่หลุด "( https://www.youtube.com/watch?v=my3U9YgiEZk ) 

จนไกด์หนุ่ยต้องรีบมาห้ามและนั่งเฝ้าพวกผมดีกว่าจะไปดูชมสวนอย่างที่ตนต้องการ เพราะไม่อย่างนั้นพวกผมอาจจะได้เป็น

"คนท้องถิ่น ในคุกท้องถิ่น จนกระทั่งถูกประหารแบบชาวท้องถิ่นด้วย"

ความเกรียนของพวกผมเริ่มได้ที่ เราก็หมดเวลาที่ Garden By The Bay สถานีต่อไกด์พี่อ้อยเริ่มสีหน้าไม่ดีเพราะเราจะไปสถานที่ซื้อของฝากที่แรก เป็นร้านนาฬิกา เสื้อยืด น้ำหอม และแว่นตา เกรงว่าพวกชาวเกรียนไทยแลนด์แดนอิสานอย่างพวกผมจะไปกระทำการเต้น เด้าๆๆๆ กันอีกไหม๊

ผมยิ้มแบบมีแต้มต่อ....

ไกด์อ้อยส่งสายตามาที่ผมแบบอ้อนวอนแกมๆขอโทษที่ก่อคดีไฝว้กับทีมผม ....
"โอเค๊" เลิกก็ได้ เพราะแอลกอฮอที่ซื้อมาหมดฤทธิ์ลงแล้ว 
พร้อมกับ Javis คำนวนว่าหากเราซื้ออีก เราจะไม่มีเงินซื้อของฝากกัน

รถมาถึงสถานที่ซื้อของฝาก สามช่า ก็เดินไปสำรวจราคาแบบ Skimming แล้วมองตากัน
"เฮ้ย แม่ม แพงว่ะรุ่นนี้ประเทศเราแม่งถูกว่า"สุทธิผู้เชี่ยวด้านนาฬิกาบ่น

ผมคิดว่าไม่รู้จะได้มาอีกไหม๊หาไรซื้อสักอย่างละกัน เลยได้แว่นกันแดดมาอันนึง อนุกับสุทธิได้เสื้อสิงคโปร์มาคนละ 3 ตัว 

เราเบื่อกับการเลิกซื้อของเราเลยเดินออกมารอด้านนอก 
ด้านนอกมีกลุ่มนักท่องเที่ยวอีก 2-3 กลุ่มเล็กๆ ถ่ายรูปกันอยู่
มีนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงมีกัน 6 คนอายุน่าจะ 50 ขึ้น ยืนเรียงแถวเหมือนถ่ายรูปคู่กับพระ 

-ยังไงอ่ะคือยืนเรียงหน้ากระดานทำหน้าขรึมๆกัน -
ผมยืนใกล้ๆมองด้วยความขำกับอารมณ์กวนตีนบวกปากหมาผมเลยพูดกับอนุ
"เฮ้ยมึงดู มันถ่ายรูปเก็กกันแบบว่า อะนะ มึงยิ้มกันไม่เป็นเหรอ แบกโลกกัน มาเที่ยวทั้งทีทำหน้ามีความสุขกันไม่ได้หรือไง ยืนเรียงแถวยังกับเคารพธงชาติ"
สามช่าหัวเราะ

คนกลุ่มนั้นถ่ายกันสักสองสามรูป ก่อนพูดว่า

"เราไปไหนกันต่อดี"

"อ้าวชิบหายคนไทย"สามช่ามองหน้ากันพร้อมเต้นเด้าๆๆๆๆ กลบเกลื่อนความผิด แล้ว Fade Out ออกจากที่เกิดเหตุ....

จุดหมายต่อไปกินข้าวเย็น.....กับเมนูพิเศษ ข้าวขาหมู กับ บะกูเต๋
อนุเริ่มบ่น "เที่ยงข้าวมันไก่...เย็นข้าวขาหมู"
นี่สิงคโปร์หรือฟูดคอร์ดบิ๊กซีว่ะ....

ผมนั่งยิ้มกับอาการบ่นของทีมงานพลางคิดว่า

....ถ้าเค้าเอาอาหารที่มึงไม่เคยแดกมาให้มึงกินมึงก็บอกว่าไม่อร่อยเอาอะไรไม่รู้มาให้มึงกิน
ครั้นเอาที่มึงเคยกินมาให้มึงก็บ่นอีกว่าบ้านมึงก็มี....

มึงหยุดบ่นกันแล้วมีความสุขกันดีไหม๊!!!

ผมยิ้มแล้วกอดคอพวกมันเดินเข้าไปกินข้าว ด้วยความสุขที่มีเต็มเปี่ยม
ความสุขกับสิ่งเราเห็นอยู่ตรงหน้าและไร้ซึ้งความกังวลใดๆ

"กินกันเยอะๆนะทดแทนตอนเที่ยงที่พวกมึงกินกันน้อย"
ผมพูด.....

สองคนยิ้มและพยักหน้า

ไปกันเถอะ"คนท้องถิ่น"... 
#ข้าวขาหมู

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รอยลิง ที่สิงคโปร์ #4 คนจน

รอยลิง ที่สิงคโปร์ #4 คนจน


ความเดิมจากตอนที่แล้ว.....อนุไปไหน!!! จบ
---------------------------------------------
รถรออนุสักพักอนุก็เดินมาพร้อมกับการเอามือลูบท้องเป็นสัญญาณว่า
"กูไปขี้มานะ ไม่เชื่อดมดากกูไหม๊(อันหลังงนิต่อเอง)"...
อนุขึ้นมานั่งข้างๆผมสีหน้าดีขึ้นมาหน่อยเมื่อสามารถปล่อยระเบิด
ลงสู่ประเทศที่ศิวิไลซ์กว่าโดยใช้ทุนที่น้อยกว่ามาก.......
"พี่แชมป์ๆ" อนุเรียกผม พี่ว่าชักโครกแม่งสูงไปไหม๊ เวลาขี้เท้ามันลอย แล้วมันก็จะ....

"พอๆ" -ผมพูดดัก- กูผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว... ผมแสดงแววตาของผู้นำที่ผ่านโลกมามาก

รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้าร้านข้าวมันไก่ สถานีต่อไปคือ 
"Fountain of Wealth น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง"
"เป็นไงบ้างไก่อร่อยไหม๊"ไกด์พี่อ้อยเริ่มพล่าม .... เนื้อไก่มันนุ่มมากๆนะคงอร่อยนะพี่เห็นกินเกลี้ยงเลย

"เกลี้ยงสิครับ มันน้อยนิ!! " เสียงผมพูดขึ้น 

ไกด์พี่อ้อยมองหน้า หลับตาซัง(อาการเดียวกับตัวร้ายหลับตาหันหน้าหนีใส่นางเอก) 
แล้วหันไปมองผู้หญิงอีกกลุ่มนึงที่ท่าทางจะพูดน้อยกว่าฝั่งผม

"เนอะๆอร่อยเนอะ"ไกด์พี่อ้อยพยายามหาแนวร่วม..

สถานที่ต่อไปคือ น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง ถูกสร้างโดยกลุ่มนักลงทุนชาวจีนและฮ่องกง หนึ่งในนักลงทุนกลุ่มนั้นคือ ลีกา ซิงสุดยอดมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงรวมอยู่ด้วย ไกด์พี่อ้อยเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง

น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1995 พร้อมๆกับ Suntec City โปรเจคศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานใหญ่ยักษ์ที่จำลองเป็นนิ้วห้านิ้ว โดยมีน้ำพุอยู่ตรงกลางเสมือนอยู่บนฝ่ามือ ตัวน้ำพุสร้างเป็นรูปวงแหวนทองแดงมีขาเป็นฐานสี่ข้าง ออกแบบตามความเชื่อของศาสนาฮินดู (Hindu Mandala) เพื่อเป็นตัวแทนจักรวาล ความเท่าเทียมและการหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนสิงคโปร์ที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติ....(โอ้จริงจังจริงๆด้วย!!)

เมื่อรถมาจอดพวกผมเริ่มเข้าสู่โหมดร่าเริง 
กระโดดโลดเต้นพร้อมสูดลมหายใจแห่งอิสระภาพและความมั่งคั่ง...

"14.30น.เจอกันที่นี่นะค่ะ" เสียงอีไกด์พี่อ้อยมารร้ายที่กำหนดอิสระภาพของเราอย่างเลือดเย็นเอ่ยออกมา...เราหุบปากที่ยิ้มอยู่ทันที...พร้อมกับระดมยิงสายตาโหมดชั่วร้ายเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
ชีเชิดหน้าใส่พร้อมรอยยิ้มเล็กๆแบบหยามๆของผู้ชนะ

เราเดินเข้าไปตรงน้ำพุเพื่อเก็บรูปอย่างรวดเร็ว ไกด์หนุ่ยเอยว่ารีบถ่ายรีบเสร็จนะครับ 
ระวังเมืองหลวงเนปาลนะครับ
"อัลไลนะ" อนุถาม ....ไกด์หนุ่นยิ้มพร้อมใบหน้าประสบความสำเร็จ....เอ่อ 
การ์ดมันดุ อะครับ มันจะมาไล่

ไกด์ยิ้มแบบผู้ชนะแล้วเดินจากไป 
#แค่นี้มึงก็เอาระวังตัวไว้ไกด์ทั้งสอง

สิ้นพิธีการถ่ายรูป เราเริ่มแยกมาเดินเล่นผมพยายามหาร้านหนังสือหลายคนบอกผมว่าไปต่างประเทศไปดูร้านหนังสือดูอันดับหนังสือเราจะรู้ว่าประเทศนั้นเป็นอย่างไร แต่จากการคำนวนของผมแล้วเวลาที่น้อยนิดไม่น่าทันผมเลยชวนอนุไปหากาแฟกินกัน

เราเดินอยู่สักพัก เห็นร้านอาหารและเครื่องดื่มมากมาย เราสังเกตที่ป้ายราคาโอ้ว

กาแฟ 7 เหรียญ อาหารอย่างอื่นส่วนใหญเริ่มที่ 12 เหรียญ
อนุเริ่มทำคิ้วชนกัลล โอ้วพี่ เหรียญนึงคูณเท่าไหร่นะพี่...25.9 ผมตอบ

กาแฟแก้วละ 180 บาทโอ้ว!!! อันนั้น 10เหรียญ!!!อันนี้ 15เหรียญ!!!
หน้าตาของอนุเริ่มเป็นเจ้าพ่อคณิตศาสตร์ มองทุกอย่างเป็นตัวเลข ชีแปลงร่างเป็น สต๊าค อยู่ในชุด Iron Man พร้อมสั่งการ Javis คำนวนค่าใช่จ่ายทุกอย่าง ค่าครองชีพที่นี้เริ่มมีผลกระทบกับเราแล้ว!!!

พนักงานกินเงินเดือนระดับกลางๆจากประเทศไทยเริ่มมองหน้ากัน เฮ้ยแบบนี้แผนที่วางไว้ว่าจะเมาแบบลืมแผ่นดินเกิดจะเป็นไง...ผมกับอนุวิ่งไปที่ซุปเปอร์ชั้นล่างหน้าจุดนัดพบ ไปที่ชั้นเบียร์

โอ้ว!!! เสียงสุทธิ น้องอีกคนมาก่อนผมและอยู่ข้างๆ 
แม่มเอ้ยเบียร์ป๋องถูกสุด 4 เหรียญ 
Javis(อนุ)ตามหลังมาพร้อม คำนวนอย่างรวดเร็ว "104 บาท" 
แบบแพ็คคู่กระป๋องยาวๆ 11.5 เหรียญ "197 บาท" 
-Javis พูดตามหลังทุกครั้งที่สุทธิ พูดราคา-

"กูรู้ละว่าประเทศห่านนี้แม่มโคตรรวยได้ไง" สุทธิพูดมองหน้าอนุ

...ความเศร้ามาปกคลุมบรรยากาศ สาม สหาย นาย-บ่าว...

เราขึ้นรถเพื่อไปต่อที่ Merlion เราขึ้นรถโดยไร้แก้วกาแฟ หรือขนมในมือ
ผมฟังไกด์พี่อ้อยไม่ค่อยรู้เรื่อง ... 

ประสบการณ์ที่ยิ้มสนุกสนานถ่ายรูปตะกี้ มืดบอดไปทันที 
"ระดับชั้น" เสียงที่ก้องขึ้นมาในหัวผมอีกแล้ว...(มึงจะมาหลอกหลอนไรกรูเนี่ย)

ระดับเงินเดือนของผมในประเทศไทยแม้จะจัดว่าไม่สูงแต่ก็ไม่ได้ถือว่าน้อย
ผมสามารถผ่อนรถ ผ่อนหนี้บ้าน จ่ายบัตรเครดิตและหนี้อื่นๆ
อีกบางส่วนและยังเหลือหักเข้าเก็บเกือบๆ 5000 บาทต่อเดือน

แต่พอมายืนตรงนี้ โอ้ว นี่สินะความแตกต่าง 
ผมเคยมองว่าคนอยู่ต่างประเทศมันช่างมีความสุข
บ้านเมืองสวยงาม หางานเงินเดือนก็เยอะ
ใช้จ่ายได้เป็นเศรษฐีเลย

ตอนนี้สำนึกเลย ว่าการปากกัดตีนถีบในต่างแดน หาเงินด้วยแรงงานขั้นต่ำ กว่าจะได้อาหารราคาถูกสุดของที่นี่ อาจจะต้องทำงานถึงขนาดก้มกราบเพื่อให้ได้มาซึ่ง "ค่าครองชีพ"

ไม่มีอะไรง่ายๆในโลกนี้สินะ 
ผมไปถึง MerLion ลงไปถ่ายรูปคู่เอกลักษณ์ของประเทศท่ามกลางอุณภูมิสามสิบกว่าองศา
อนุนั่งเมาแดดเข้าไปอีก สุทธิตระเวนเดินรอบๆ 

ผมเดินเข้าสตาร์บัค ที่จริงผมก็ไม่กินนะครับ อเมซอนผมก็ไม่กินผมว่ามันแพงแก้ว 60 บาทที่เมืองไทยผมกินกาแฟบริษัท ชงกินเองอาศัยเคยทำขาย ปรุงรสตามใจชอบไม่ต้องรอลุ้นกับรสชาติแปลกที่พนักงานชงให้

แต่วันนี้ผมอยากเข้าไปดื่มด่ำกับสิ่งที่อยู่ต่างแดน 
สัมผัสกาแฟแก้วเกือบ 200 ว่ามันจะทำให้เราได้อะไร?....

ผมไม่ได้หวังรสชาติ ผมไม่หวังวิถีชีวิต สิ่งที่ผมอยากได้คือมุม
แง่มุมที่ก่อให้เกิดแรงผลักดันอะไรสักอย่าง

เหมือนซื้อหนังสือสักเล่ม เราอ่านเรานั่งคิดเราทบทวนว่าหนังสือมันบอกอะไรเรา

กาแฟแก้วนี้บอกอะไรกับผมบ้าง....
ความลำบาก ความจน ความเจียมตัว การยอมรับและการผลักดัน
มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกนะครับ ผมกินเบียร์ก็หมดครั้งละ 300บ้าง 500 บ้าง
แต่อารมณ์นี้มันไม่ได้เกิดตอนกินเบียร์ หรือบุฟเฟต์ราคาแพง
อารมณ์ของการเจียมตัว ความต่างของวรรณะ อารมณ์ของ"การอยากเปลี่ยนแปลง"

"คนจนที่ที่ถูกล่ามโซ่ มาเดินในที่ๆไม่ใช่ของตน...."
น่าจะจำกัดความให้พวกผมตรงที่สุดแล้วตอนนี้

ผมถ่ายรูปเสร็จ นั่งกินกาแฟหน้าร้านเพราะในร้านคนเต็ม 
ผมมองเห็นอนุกับสุทธิเดินมา"เหนื่อย ร้อน" สองคนบ่น
ได้เครื่องดื่มเย็นๆสักแก้วคงดี

Javis เริ่มคำนวน แล้วพูดกับสุทธิ...
"ความจริงกระป๋องยาวแพ็คคู่ 11 เหรียญก็พอกินอยู่นะ"

สุทธิยิ้มแล้วเดินไป ร้านค้ากับอนุ รอยยิ้มเผยอขึ้นจากปากของทั้งสอง

"ความสุขมันถูกบรรจุในกระป๋องและอยู่ทุกๆที่บนโลกจริงๆ"
#ยืมก่อนนะพี่แชมป์ #เอ้ามาให้พี่สักแพ็คด้วยละกัน